การประเมินสมรรถภาพทางกายในกีฬาฟุตบอล: เจาะลึกความเร็ว, การเปลี่ยนทิศทาง และโปรไฟล์แรง-ความเร็ว
TL;DR | บทความนี้เน้นย้ำว่าการประเมินสมรรถภาพนักกีฬาฟุตบอลอย่างละเอียดมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยครอบคลุมการวิ่งสปรินต์ทางตรง, การวิ่งสปรินต์ทางโค้ง, การเปลี่ยนทิศทาง (COD) และโปรไฟล์แรง-ความเร็ว (FVP) ซึ่งแต่ละส่วนมีกลไกทางชีวกลศาสตร์และบทบาทเฉพาะในการเล่นฟุตบอล โดยมีสถิติและงานวิจัยรองรับถึงความสำคัญในการทำประตูและรูปแบบการเคลื่อนที่จริง Lapreact Pro ถูกนำเสนอในฐานะเครื่องมือที่ช่วยให้โค้ชและนักวิทยาศาสตร์การกีฬาสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบ ทำให้สามารถออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เฉพาะบุคคล ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาได้ตามหลักวิทยาศาสตร์.
SPORTS PERFORMANCE
RAT
7/8/2025


การประเมินสมรรถภาพทางกายในกีฬาฟุตบอล:
เจาะลึกความเร็ว, การเปลี่ยนทิศทาง และโปรไฟล์แรง-ความเร็ว
ในบริบทของการพัฒนานักกีฬาฟุตบอลยุคใหม่ การประเมินสมรรถภาพทางกายอย่างละเอียดและเป็นวิทยาศาสตร์ถือเป็นหัวใจสำคัญเพื่อยกระดับประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ และออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เฉพาะบุคคล บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของแนวคิดและวิธีการประเมินที่สำคัญ ได้แก่ การวิ่งสปรินต์ทางตรง (Linear Sprint), การวิ่งสปรินต์ทางโค้ง (Curved Sprint), การเปลี่ยนทิศทาง (Change of Direction – COD) และโปรไฟล์แรง-ความเร็ว (Force-Velocity Profile – FVP) โดยเน้นข้อมูลเชิงวิชาการ สถิติที่เกี่ยวข้อง และกลไกทางชีวกลศาสตร์ที่สนับสนุนความสำคัญของแต่ละองค์ประกอบ
1. การวิ่งสปรินต์ทางตรง (Linear Sprint): พื้นฐานความเร็วในสนาม
คำจำกัดความ: การวิ่งสปรินต์ทางตรงคือการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดหรือความเข้มข้นสูงในแนวตรง โดยปกติเป็นระยะเวลาสั้นๆ (น้อยกว่า 10 วินาที) ในช่วงการวิ่งสปรินต์ นักกีฬาจะเปลี่ยนผ่านจากการเร่งความเร็วไปสู่ช่วงความเร็วสูงสุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทิศทางของแรงปฏิกิริยาจากพื้น (Ground Reaction Force – GRF) ให้ตั้งฉากกับพื้นมากขึ้น ท่าทางของลำตัวและหน้าแข้งตั้งตรงขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงความถี่การก้าว (Step Frequency – SF) และความยาวก้าว (Step Length – SL)
ความสำคัญในกีฬาฟุตบอล: การวิ่งสปรินต์ทางตรงเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิภาพในกีฬาฟุตบอลระดับสูง โดยมีการศึกษาพบว่า 45% ของประตูทั้งหมดในการแข่งขันฟุตบอลอาชีพของเยอรมนีมาจากการวิ่งสปรินต์ทางตรงก่อนการทำประตู (Faude et al, 2012) นอกจากนี้ การประเมินความเร็วสูงสุดในการวิ่งสปรินต์ (Maximal Sprint Speed – MSS) ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดโปรไฟล์จุดแข็งและจุดอ่อนของนักกีฬาแต่ละคน การเปรียบเทียบสมรรถนะ และการสร้างค่าพื้นฐานสำหรับการฟื้นตัวและการฟื้นฟูหลังการบาดเจ็บ
กลไกทางชีวกลศาสตร์: ความสามารถในการวิ่งสปรินต์ทางตรงขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของแรงเชิงกล นักกีฬาจะสร้างแรง GRF ในทิศทางแนวนอนมากขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการเร่งความเร็ว เพื่อผลักดันจุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass – COM) ไปข้างหน้า โดยกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงแนวนอนนี้ นอกจากนี้ ความเร็วในการวิ่งสูงสุดที่เร็วขึ้นนั้นเกิดจากการสร้างแรงจากพื้นที่มากขึ้น ไม่ได้เกิดจากการเคลื่อนไหวขาที่เร็วขึ้น
วิธีการทดสอบและการประเมิน: วิธีการทดสอบที่นิยมคือการวิ่งสปรินต์ทางตรง โดยระยะทางสั้นๆ (น้อยกว่า 20 เมตร) ใช้สำหรับการประเมินการเร่งความเร็ว ขณะที่ระยะทางที่ยาวขึ้น (มากกว่า 30–40 เมตร) ใช้สำหรับการประเมินความเร็วสูงสุด การเริ่มต้นทดสอบมีทั้งแบบ fixed start (ยืนนิ่ง) และ flying start (วิ่งมาด้วยความเร็ว) ซึ่งนิยมใช้ในการประเมินความเร็วสูงสุด
ความน่าเชื่อถือ: การทดสอบการวิ่งสปรินต์ 40 เมตรมีความน่าเชื่อถือสูงมาก โดยเฉพาะค่าเวลา (Time) และความเร็วสูงสุด (Top Speed) ซึ่งมีค่า Intraclass Correlation Coefficient (ICC) ≥ 0.98 และค่า Technical Error (TE) ที่ต่ำ บ่งชี้ว่าสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสมรรถภาพได้อย่างแม่นยำ
การประยุกต์ใช้: ข้อมูลจากการประเมินนี้มีคุณค่าในการออกแบบโปรแกรมฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาความเร็วสูงสุดและการเร่งความเร็ว ติดตามความคืบหน้าของนักกีฬา และเป็นสิ่งจำเป็นในการประเมินเพื่อการกลับสู่การแข่งขัน (Return-to-Play – RTP) หลังการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ข้อมูลที่แม่นยำยังช่วยปรับเทียบการวิเคราะห์ด้วยระบบ GPS เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับภาระการฝึกซ้อมและการแข่งขัน
ช่องว่างการวิจัย: ยังขาดการศึกษาที่ครอบคลุมในนักฟุตบอลหญิง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเข้าใจที่สมบูรณ์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของโปรโตคอลการประเมินทั้งหมด
2. การวิ่งสปรินต์ทางโค้ง (Curved Sprint): มิติสำคัญที่ถูกมองข้าม
คำจำกัดความ: การวิ่งสปรินต์ทางโค้งคือการวิ่งด้วยความเร็วสูงไปตามเส้นทางที่มีความโค้ง โดยยังคงรักษารูปแบบการวิ่งแบบเป็นวัฏจักร (cyclical running pattern) แตกต่างจากการเปลี่ยนทิศทาง (COD) ซึ่งต้องมีการหยุดการวิ่งแบบเป็นวัฏจักรอย่างชัดเจนและการลงเท้าด้านข้างเพื่อเปลี่ยนทิศทาง การวิ่งสปรินต์ทางโค้งจึงถูกอธิบายว่าเป็นลูกผสมระหว่างความเร็วเชิงเส้นและการเปลี่ยนทิศทาง
ความสำคัญในกีฬาฟุตบอล: การวิ่งสปรินต์ทางโค้งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในกีฬาฟุตบอล เนื่องจากมีการเคลื่อนที่แบบโค้งจำนวนมาก พบว่าประมาณ 85% ของการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดในลีกฟุตบอลอาชีพเป็นการวิ่งแบบโค้ง (Caldbeck, 2019) ทักษะที่จำเป็นสำหรับการวิ่งสปรินต์ทางโค้งและวิ่งเส้นตรงนั้นมีความเป็นอิสระต่อกันในระดับหนึ่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าควรมีการรวมการทดสอบทั้งสองประเภทไว้ในชุดการประเมินสมรรถภาพของนักกีฬา (Fı́lter et al., 2020)
กลไกทางชีวกลศาสตร์: การวิ่งสปรินต์ทางโค้งสร้างความต้องการด้านระบบประสาทและกล้ามเนื้อ กลไก และการใช้พลังงานที่แตกต่างกันระหว่างขาด้านในและขาด้านนอก นักกีฬาจำเป็นต้องสร้างแรง GRF เข้าสู่ศูนย์กลาง (centripetal) และแรง GRF ในแนว medial-lateral (ML) โดยการเอนตัวไปด้านข้างเพื่อต้านทานโมเมนต์การหมุนและรักษาวิถีการเคลื่อนที่แบบโค้ง
ขาด้านใน (Inside leg): มักมีช่วงเวลาที่เท้าสัมผัสพื้นนานกว่าขาด้านนอก และอาจมีบทบาทสำคัญในการจำกัดความเร็วการวิ่งสูงสุดระหว่างการวิ่งสปรินต์ทางโค้ง
ขาด้านนอก (Outside leg): มีการเพิ่มขึ้นของการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หมุนสะโพกไปด้านนอก (เช่น Biceps Femoris และ Gluteus Medius) เพื่อต้านทานแรง valgus และโมเมนต์การหมุนสะโพกเข้าด้านในที่เข่า
วิธีการทดสอบและการประเมิน: วิธีการทดสอบที่นิยมคือการวิ่งสปรินต์แบบโค้งเฉพาะสำหรับนักฟุตบอล โดยใช้ความโค้งของเขตโทษ (ครอบคลุมระยะ 17 เมตร) ซึ่งมีการระบุตัวแปร เช่น ความไม่สมดุลระหว่างขา
ความน่าเชื่อถือ: ความน่าเชื่อถือของการทดสอบนี้ได้รับการยืนยันในนักกีฬาชาย โดยมีค่า ICC อยู่ระหว่าง 0.75 ถึง 0.96 แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันในนักกีฬาหญิง และจำเป็นต้องมีกระบวนการทำความคุ้นเคยก่อนการทดสอบเพื่อข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
การประยุกต์ใช้: ข้อมูลจากการวิ่งสปรินต์ทางโค้งช่วยในการระบุระดับและทิศทางของความไม่สมดุลระหว่างขาของนักกีฬา ซึ่งสามารถนำไปสู่การฝึกซ้อมที่มุ่งเน้นการปรับปรุงด้านที่อ่อนแอเพื่อลดความไม่สมดุล และช่วยกำหนดโปรไฟล์ตำแหน่งการเล่นในกีฬาฟุตบอล
ช่องว่างการวิจัย: ยังขาดการศึกษาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการทดสอบการวิ่งสปรินต์ทางโค้งสำหรับนักฟุตบอลหญิง รวมถึงความแตกต่างทาง kinametics และ kinetics ที่ละเอียดระหว่างขาในการวิ่งสปรินต์ทางโค้ง
3. การเปลี่ยนทิศทาง (Change of Direction - COD): ความคล่องตัวที่ซับซ้อน
คำจำกัดความ: การเปลี่ยนทิศทาง (COD) คือความสามารถในการลดความเร็วลงอย่างรวดเร็ว ปรับทิศทางของร่างกาย และเร่งความเร็วไปในทิศทางใหม่ที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ COD ต้องมีการหยุดรูปแบบการก้าววิ่งแบบเป็นวัฏจักรอย่างชัดเจน และมีการวางเท้าด้านข้างเพื่อเปลี่ยนทิศทาง การทดสอบ COD มีทั้งแบบที่วางแผนไว้ล่วงหน้า (Pre-planned) ซึ่งนักกีฬาจะรู้เส้นทางล่วงหน้า และแบบตอบสนอง (Reactive/unplanned) ซึ่งต้องใช้การตัดสินใจและประเมินการทำงานของสมองด้านการรับรู้ด้วย
ความสำคัญในกีฬาฟุตบอล: COD พบได้ในกีฬาแทบทุกประเภท โดยเฉพาะในกีฬาแบบทีม นักกีฬาฟุตบอลทำการเปลี่ยนทิศทางประมาณ 650 ครั้งในการแข่งขันที่มีความเข้มข้นปานกลาง และประมาณ 50 ครั้งเป็นการเปลี่ยนทิศทางที่มีความเข้มข้นสูงสุด (Bloomfield et al, 2007) ในหนึ่งเกม นอกจากนี้ COD ยังเป็นหัวใจสำคัญในสถานการณ์การทำประตูและการป้องกัน และมีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับการป้องกันการบาดเจ็บ โดยเฉพาะการบาดเจ็บของเอ็นไขว้หน้า (ACL)
กลไกทางชีวกลศาสตร์: COD ประกอบด้วยระยะต่างๆ เช่น การเร่งความเร็วเริ่มต้น, การชะลอความเร็วเบื้องต้น, การลงเท้าเพื่อเปลี่ยนทิศทาง, และการเร่งความเร็วซ้ำ โดยต้องการความแข็งแรงแบบยืดออก (eccentric) ในช่วงเบรก แบบไอโซเมตริก (isometric) ในช่วงลงเท้าเพื่อเปลี่ยนทิศทาง และแบบหดสั้น (concentric) ในช่วงเร่งความเร็ว โดยมีความต้องการความแข็งแรงในระดับสูงเพื่อสร้างแรงเบรกและแรงขับเคลื่อน Max Deceleration (การลดความเร็วสูงสุด) ถือเป็นปัจจัยสำคัญในความสามารถในการเปลี่ยนทิศทาง (McBurnie & Dos’Santos, 2022) ยิ่งความเร็วที่ต้องลดลงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการแรงในการเบรกมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนทิศทาง 180° โดยทั่วไปใช้เวลามากกว่า 400 มิลลิวินาที บ่งชี้ถึงการทำงานของวงจรการยืด-หดตัว (Stretch-Shortening Cycle – SSC) แบบช้า
วิธีการทดสอบและการประเมิน: วิธีการทดสอบ COD ที่นิยมคือ 5-0-5 test, Illinois Test, และ Repeated Sprint Ability (RSA) ที่มีการเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งมักใช้ระยะสปรินต์ 20-40 เมตร ทำซ้ำ 3-10 ครั้ง โดยมีเพียง 1-5 ครั้ง (ส่วนใหญ่ 1 ครั้ง 180°) เป็นการเปลี่ยนทิศทาง การทดสอบเหล่านี้มีตัวแปรหลักคือ เวลาสปรินต์ และ Change of Direction Deficit
ความน่าเชื่อถือ: การทดสอบ COD โดยรวมมีระดับความน่าเชื่อถือสูง โดยมีค่า ICC อย่างน้อย 0.75-0.90 สำหรับการทดสอบ 5-0-5, 10-0-5, และ 15-0-5 การวัดค่าความเร่งสูงสุด (Max Acceleration) และการลดความเร็วสูงสุด (Max Deceleration) โดยทั่วไปมีความน่าเชื่อถือดี
การประยุกต์ใช้: การประเมิน COD ช่วยในการปรับปรุงเทคนิคการเคลื่อนที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ สร้างโปรไฟล์ความสามารถของนักกีฬา และเป็นเครื่องมือสำคัญในโปรแกรม RTP นอกจากนี้ การเพิ่มองค์ประกอบการแข่งขัน (gamification) ในการทดสอบหลายคนพร้อมกันยังสามารถกระตุ้นให้นักกีฬาแสดงผลงานได้ดีขึ้น
ช่องว่างการวิจัย: ยังขาดการศึกษาที่ครอบคลุมในนักฟุตบอลหญิง และยังไม่มีการกำหนดนิยามที่เป็นสากลสำหรับความเร็วหลายทิศทาง (Multi-Directional Speed – MDS)
4. โปรไฟล์แรง-ความเร็ว (Force-Velocity Profile - FVP): การวิเคราะห์ประสิทธิภาพเชิงกลรายบุคคล
คำจำกัดความ: โปรไฟล์แรง-ความเร็ว (FVP) เป็นเครื่องมือที่ใช้อธิบายความสามารถทางกลไกของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในการสร้างแรงที่ความเร็วการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกัน ในระหว่างการเคลื่อนไหวแบบหลายข้อต่อของขา เช่น การกระโดดในแนวดิ่ง หรือการวิ่งสปรินต์ โดยสรุปผ่านตัวแปรทางกลไกหลักสามตัว ได้แก่ แรงสูงสุดทางทฤษฎี (F0), ความเร็วสูงสุดทางทฤษฎี (V0) และกำลังสูงสุด (Pmax)
F0 (Theoretical Maximal Force): แรงสูงสุดที่สามารถผลิตได้เมื่อความเร็วเป็นศูนย์ (สำหรับ FVP แนวตั้ง) หรือแรงขับเคลื่อนสูงสุดในแนวนอน (สำหรับ FVP แนวนอน)
V0 (Theoretical Maximal Velocity): ความเร็วสูงสุดทางทฤษฎีภายใต้สภาวะไร้โหลด (สำหรับ FVP แนวตั้ง) หรือความสามารถในการวิ่งสูงสุดทางทฤษฎี (สำหรับ FVP แนวนอน)
Pmax (Maximal Power Output): กำลังสูงสุดที่สร้างได้ ซึ่งเป็นผลคูณขององค์ประกอบแรงในทิศทางการเคลื่อนที่และความเร็วในการเคลื่อนที่
RF (Ratio of Net Horizontal and Resultant Ground Reaction Forces): อัตราส่วนของแรงปฏิกิริยาจากพื้นสุทธิในแนวนอนต่อแรงรวมที่วัดได้ในแต่ละก้าว
DRF (Rate of Decrease in RF Indices): อัตราการลดลงของดัชนี RF เมื่อความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในการผลักดัน
ความสำคัญ: FVP มีคุณค่าอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจประสิทธิภาพของนักกีฬาในการผลักตัวแบบบัลลิสติก และช่วยให้โค้ชสามารถระบุ "การบกพร่องของแรง" (Force Deficit) หรือ "การบกพร่องของความเร็ว" (Velocity Deficit) ในตัวนักกีฬา ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความคืบหน้าของนักกีฬา การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการตัดสินใจ RTP
กลไกทางชีวกลศาสตร์: ตัวแปร F0, V0 และ Pmax ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางรูปร่าง, กลไกทางประสาท, การประสานงานของกล้ามเนื้อ และการวางแนวของโมเมนตัม ประสิทธิภาพการเร่งความเร็วในการวิ่งสปรินต์มีความสัมพันธ์โดยเฉพาะกับ FVP ในแนวนอน โดย F0 สัมพันธ์กับการเร่งความเร็วในระยะสั้น ส่วนความเหนื่อยล้าสามารถส่งผลต่อความสามารถในการรักษาองค์ประกอบแนวนอน ซึ่งนำไปสู่การลดลงของประสิทธิภาพการวิ่งสปรินต์
วิธีการทดสอบและการประเมิน: วิธีการที่นิยมคือวิธีของ Samozino ซึ่งใช้ข้อมูลความเร็ว-เวลาของการวิ่งสปรินต์ระยะ 30 หรือ 40 เมตร (ต้องวิ่งให้ถึงความเร็วสูงสุด) และเก็บข้อมูลอย่างน้อย 4 ช่วงเวลา (Samozino et al, 2016) การทดสอบ FVP ในแนวดิ่งสามารถทำได้ในระหว่างการกระโดดในแนวดิ่ง (Squat Jump หรือ Countermovement Jump – CMJ) โดยใช้โหลดตั้งแต่สองโหลดขึ้นไป
ความน่าเชื่อถือ: ตัวแปร FVP แสดงให้เห็นว่ามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือสูง โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำ (≤5%) และค่า ICC สูง (> 0.970 สำหรับ Vertical FVP) และค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานต่ำ (<5% สำหรับ Horizontal FVP)
การประยุกต์ใช้: FVP ช่วยให้โค้ชสามารถสร้างแผนการฝึกซ้อมที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างสมบูรณ์ เช่น หาก F0 สูงกว่า V0 มาก ควรเน้นการปรับปรุง V0 ด้วยการฝึกความเร็วสูง หาก V0 สูงกว่า F0 มาก ควรเน้นการฝึกเพิ่มแรง นอกจากนี้ยังใช้ในการติดตามความคืบหน้า, การจัดการภาระการฝึกซ้อม, ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ, และการตัดสินใจ RTP โดยพิจารณาจากโปรไฟล์ FVP ก่อนการบาดเจ็บ
ช่องว่างการวิจัย: ยังมีการศึกษาไม่มากนักที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร FVP กับผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพอื่นๆ นอกเหนือจากความสูงของการกระโดดและเวลา/ความเร็วในการวิ่งสปรินต์ (เช่น COD, ความเร็วลูก)
5. Ledsreact Pro: บทบาทในการประเมินสมรรถภาพเชิงลึก
ความต้องการข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมในการประเมินสมรรถภาพนักกีฬาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนากีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ระบบ Ledsreact Pro ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว โดยเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์การกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการวิ่งสปรินต์เชิงเส้น, การวิ่งสปรินต์ทางโค้ง, การเปลี่ยนทิศทาง (COD) และโปรไฟล์แรง-ความเร็ว (FVP) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
การประเมินการวิ่งสปรินต์ (Sprint Assessment): Ledsreact Pro ให้การวัดผลการวิ่งสปรินต์เชิงเส้นที่หลากหลายระยะ (เช่น 5 เมตรถึง 40 เมตรหรือมากกว่า) รวมถึงการวิเคราะห์ความเร่งสูงสุดและการลดความเร็วสูงสุดด้วยความแม่นยำสูง เทคโนโลยีเรดาร์ยังช่วยให้การทดสอบเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สวมใส่
การวิเคราะห์การวิ่งสปรินต์ทางโค้ง (Curved Sprint Analysis): ระบบ Ledsreact Pro มีความสามารถในการวัดการเคลื่อนที่แบบโค้งได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในกีฬาฟุตบอล ข้อมูลจากการประเมินนี้ช่วยในการระบุความไม่สมดุลระหว่างขา และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่แบบซับซ้อน
การประเมินการเปลี่ยนทิศทางที่ครอบคลุม (Comprehensive Change of Direction Assessment): Ledsreact Pro รองรับการทดสอบ COD หลากหลายรูปแบบ (เช่น 5-0-5 test, 5-10-5 test, Box test, T-test) ทั้งแบบที่วางแผนไว้ล่วงหน้าและแบบตอบสนอง ซึ่งให้ค่าการวัดที่ละเอียด เช่น ความเร็วสูงสุดในการลดความเร็วและเวลาในแต่ละเฟส เพื่อการประเมินความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางและเร่งความเร็วในการกลับตัว
การสร้างโปรไฟล์แรง-ความเร็ว (FVP) อัตโนมัติ: Ledsreact Pro มีฟังก์ชันการคำนวณและสร้างโปรไฟล์ FVP โดยอัตโนมัติจากข้อมูลการวิ่งสปรินต์ที่ระบบเก็บรวบรวม ตัวแปรสำคัญของ FVP เช่น F0, V0, Pmax, RFmax, และ DRF จะถูกนำเสนออย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ผู้ฝึกสอนสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนเชิงกลไกของนักกีฬาได้อย่างแม่นยำโดยไม่จำเป็นต้องคำนวณด้วยตนเอง
บทสรุป
การทำความเข้าใจเชิงลึกในมิติการเคลื่อนที่และสมรรถนะของนักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งสปรินต์ทางตรง, การวิ่งสปรินต์ทางโค้ง, การเปลี่ยนทิศทาง, หรือโปรไฟล์แรง-ความเร็ว ล้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนานักกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ระบบ Ledsreact Pro เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง
Ledsreact Pro ช่วยให้การประเมินสมรรถภาพก้าวข้ามการวัดผลเพียงตัวเลขไปสู่การวิเคราะห์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกอันเป็นประโยชน์ต่อการ:
ออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่ปรับให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล
ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บผ่านการทำความเข้าใจกลไกการเคลื่อนที่
สนับสนุนกระบวนการกลับสู่การแข่งขันหลังการบาดเจ็บ
ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพสูงสุดของนักกีฬาบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
อ้างอิง
Faude, O., Koch, T., & Meyer, T. (2012). Straight sprinting is the most frequent action in goal situations in professional football. Journal of Sports Sciences, 30(7), 657-662.
Caldbeck, R. (2019). The sprint characteristics of professional soccer players in varying environments and its implications for training. (Doctoral dissertation, Edith Cowan University).
Fı́lter, A., Olivares, J., Santalla, A., Serrano, M. A., & Sampaio, J. (2020). New curve sprint test for soccer players: Reliability and relationship with linear sprint. Journal of Sports Sciences, 38(11-12), 1320–1325.
Bloomfield, J., Polman, R., & O'Donoghue, P. (2007). Effective speed in soccer: Part 1—Movement demands. International Journal of Sports Science & Coaching, 2(3), 259–265.
McBurnie, A. J., & Dos’Santos, T. (2022). Multidirectional speed in youth soccer players: Theoretical underpinnings. Strength & Conditioning Journal, 44(1), 15–33.
Samozino, P., Rabita, G., Dorel, S., Slawinski, J., Peyrot, N., Saez de, Villarreal. E., & Morin, J. B. (2016). A simple method for measuring power, force, velocity properties, and mechanical effectiveness in sprint running. Scandinavian Journal of Medicine & Science in Sports, 26(6), 648–658.
หมายเหตุ: บทความนี้ใช้ NotebookLM ช่วยในการสกัดเอาข้อมูลที่สำคัญจากงานวิจัยต่างๆ ออกมาเรียบเรียง แล้วตรวจสอบความถูกต้องโดยผู้เขียน

